Manila in Philippines
ทริปนี้เราจะจับไฟล์ทกรุงเทพฯ – มะนิลา จากสายการบินแอร์เอเชีย เวลาสามทุ่มครึ่งถึงที่นั้นประมาณตีหนึ่งเพื่อจะได้ไม่ต้องลางานหลายวัน บอกเลยว่าลาแค่วันเดียวแต่เที่ยวคุ้มกว่าที่คิด
ที่สำคัญ ตั๋วของแอร์เอเชียราคาไม่แพง ยิ่งจองพร้อม “แพ็กสุดคุ้ม” ก็ประหยัดไปอีก ที่มัดรวมบริการในเรื่องของน้ำหนักกระเป๋า และยังสะดวกสบายสามารถเลือกที่นั่งได้เอง พร้อมด้วยอาหารร้อนที่ทำให้เราอิ่มท้องตลอดการเดินทาง แถมยังอุ่นใจกับประกันการเดินทางที่เค้าแพครวมมาให้เสร็จเรียบร้อย
JEEPNEY CAR รถโดยสารสาธารณะที่เป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ถ้ามาฟิลิปปินส์ต้องลองนั่งสักครั้ง ความน่ารักและเสน่ห์ของเจ้ารถจี๊ปนี่ ก็คือเราจะต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่นั่งข้างๆ โดยการส่งค่าโดยสารต่อๆกันไปเป็นทอดๆให้กับคนขับที่อยู่ด้านหน้า
ทริปนี้อย่างที่เกริ่นตอนแรกเลยเราจะพาไปเที่ยวที่ มะนิลา เมืองสุดชิคที่มีกลิ่นอายความเป็นColonial กัน เมืองมะนิลาได้รับการจัดการอันดับว่าเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นเป็นอันดับหนึ่งของโลก ความเจริญจึงกระจุกตัวอยู่ที่เมืองนี้เป็นส่วนใหญ่ สังเกตได้จากศูนย์รวมตึกอาคารที่สูงเสียดฟ้า แหล่งเศรษฐกิจย่าน Makati แต่ถึงความเจริญจะถูกแทรกซึมเข้ามาอย่างไรแต่ มะนิลาก็ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่ยังคงกลิ่นอายของเป็น Colonial ที่จะพาเราย้อนยุคกลับไปสู่สมัยการล่าอาณานิคม
การเดินทางในตัวเมืองมะนิลา ถ้าไปกันเยอะเราแนะนำให้ใช้บริการ GRAB TAXI เลยสะดวกสุดประหยัดเวลาได้เยอะเพราะที่มะนิลา รถค่อนข้างติดเวลาจะเดินทางไปไหนทีต้องเผื่อเวลาการใช้บริการให้มากๆหน่อย แต่ถ้าเราใช้บริการ GRAB TAXI จะช่วยสามารถกำหนดค่ารถได้ เลยเพราะเขาจะคำนวณเวลาตามระยะทางให้เราเสร็จเรียบร้อย จ่ายเงินได้ที่คนขับไม่มีขี้โกง ปลอดภัย สะดวกไม่ต้องกลัวว่าจะโดนโก่งราคา ที่สำคัญไม่หลงด้วย พอเรามาถึงสนามบินเราก็เรียกใช้บริการเลยสะดวกมากๆจากสนามบินมาถึงย่าน Makati ประมาณ 350 เปโช
ถ้านั่งรถไฟฟ้าหรือรถสาธารณะเที่ยว สามารถทำได้ไหม สามารถทำได้แต่จะจัดการเรื่องเวลาและสถานที่ยากหน่อย
คนที่นี่นิยมใช้รถไฟฟ้ามาก ด้วยความที่มีแค่สองสาย และประชากรก็ค่อนข้างหนาแน่น ในช่วงเร่งด่วนที่นี่เหมือนเมืองหลวงทั่วไปที่ชั่วโมงเร่งด่วนคนจะเยอะมาก
คนที่นี่นิยมใช้รถไฟฟ้ามาก ด้วยความที่มีแค่สองสาย และประชากรก็ค่อนข้างหนาแน่น ในช่วงเร่งด่วนที่นี่เหมือนเมืองหลวงทั่วไปที่ชั่วโมงเร่งด่วนคนจะเยอะมาก
INTRAMUROS เขตย่านเมืองเก่า ที่นี่ถือเป็น MUST-VISIT ATTRACTION ที่ห้ามพลาดเมื่อมา มะนิลา เลยเพราะเป็นศูนย์รวมความฮิป ความคลาสสิค ถูกรวบรวมเอาไว้ที่นี่หมดแล้ว ไม่ว่าจะตึกอาคาร โบถส์ โรงเรียน พิพิธภัณฑ์เป็นโลเคชั่นที่เหมาะกับการถ่ายรูปชิคๆ พร้อมกับเรียนรู้ประวัติศาสตร์ไปด้วยในตัว
เริ่มกันที่โบสถ์ซานอากุสติน (San Agustin Church) มรดกโลกแห่งกรุงมะนิลา ตัวโบสถ์สีส้มอิฐสร้างเมื่อ ค.ศ.1599 ด้วยหินอ่อนทั้งหลังตามแบบสถาปัตยกรรมสเปนสวยสะดุดตา ให้ความรู้สึกราวกับยืนชมวิหารในยุโรป ใครจะไปคิดว่านี่เราอยู่ประเทศในแถบเอเชีย สำหรับด้านนอกและประตูทางเข้าตกแต่งด้วยงานแกะสลักหินเป็นรูปนักบวชออกุสตินและมารดาอย่างงดงาม
ด้านในเป็นมิวเซียมที่เก็บรักษาโบราณวัตถุ รวมถึงเครื่องปั้นดินเผาทรงคุณค่าทั้งจากสเปน เม็กซิกัน และจีนอีกเพียบเรียกได้ว่าจ่ายค่าเข้าคนละ 200 เปโซ ภายในตกแต่งสวยงามหรูและสวยงามมากๆ
สถานที่ต่อไปยังคงอยู่ที่โบถส์เนื่องจากคนที่นี่ส่วนใหญ่ 90% เป็นคริสจึงไม่แปลกถ้าที่นี่จะเต็มไปด้วยโบสถ์ เราเลยจะไปพาเที่ยวกันต่อที่ศูนย์รวมจิตใจและใช้ประกอบพิธีกรรมต่างของชาวเมืองมะนิลา ที่มหาวิหารมะนิลา (Manila Cathedral) อัครวิหารโรมันคาทอลิกที่มีการตกแต่งแบบศิลปะตะวันตกที่สวยงามราวกับโบสถ์ในยุโรปเลย
ว่ากันว่าในอตีดที่นี่แม้จะผ่านความเสียหายมาแบบนับจำนวนไม่ถ้วนแต่ก็ได้รับการบูรณะและยังยืนหยัดเป็นศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่มาจนถึงปัจจุบัน การตกแต่งภายในตระการตาด้วยกระจกหลากลวดลายหลายสีสัน ที่นี่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว และเป็นที่ศรัทธาของชาวเมืองมะนิลารวมถึงนิยมมาขอพรกันด้วย
ป้อมซานตีอาโก (Fort Santiago) อีกหนึ่งสถานที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองมะนิลา ป้อมปราการแห่งนี้มีอายุกว่า 400 ปี ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Pasig เป็นฐานทัพบัญชาการของทหารสเปนเพื่อป้องกันโจรสลัดและผู้รุกราน จนท้ายที่สุดก็ได้กลายมาเป็นคุกที่คุมขังบุคคลสำคัญและนักโทษชาวฟิลิปปินส์จำนวนมาก เมื่อเราผ่านประตูป้อมปราการเข้าไปก็เหมือนก้าวข้ามเข้าสู่ดินแดนยุโรปยุคกลาง ที่มีสถาปัตยกรรมและอาคารต่างๆ แฝงไปด้วยกลิ่นอายแห่งสเปน
บริเวณโดยรอบย่านเมืองเก่าอินทรามูรอส ก็มีสิ่งก่อสร้างแบบยุโรปให้เห็นทั่วตลอดเมืองแถมยังงานสตีทอาร์ทเก๋ๆเท่ๆจากศิลปินของที่นั่นด้วย ถ้าเพื่อนมาเที่ยวย่านนี้ก็ต้องเตรียมเมมมาเยอะนิดนึงเพราะมุมถ่ายรูปสวยๆมันเยอะมากๆเลยเธอ
คาซามะนิลา (Casa Manila) ตึกที่พัก 3 ชั้น ขนาดใหญ่ของชนชั้นสูงชาวสเปนที่เข้ามาอยู่ในฟิลิปปินส์ตัวอาคารสร้างด้วยหินจากภูเขาไฟ แบ่งโซนเป็นห้องต่างๆ ตามวิถีความเป็นอยู่ที่หรูหรา ทั้งห้องดนตรี ห้องครัว ห้องอาหาร ห้องน้ำ และห้องนอน รวมถึงเฟอร์นิเจอร์ที่นำเข้าจากต่างประเทศสุดคลาสสิก หากใครที่อยากย้อนยุคไปซึมซับวัฒนธรรมการใช้ชีวิตแบบผู้ดีชาวสเปนก็ไม่ควรพลาด
“ภูเขาไฟตาอัล” สถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติชื่อดังและเป็นที่นิยมมากๆของนักท่องเที่ยว ใครมานั่งเครื่องมาลง มะนิลา นอกจากเที่ยวชมความสวยงามของอาคารบ้านเรือนและวัฒนธรรมแบบยุโรปกันแล้วก็สามารถมาเที่ยวที่นี่แบบไปเช้าเย็นกลับได้เหมือนเรา ภูเขาไฟตาอัล ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลสาบตาอัล ห่างจากกรุงมะนิลาแค่ 55 กิโลเมตร
ด้วยลักษณะภูมิประเทศเป็นแอ่งภูเขาไฟที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางทะเลสาบ ทำให้ที่นี่ได้รับการขนานนามว่า เกาะภูเขาไฟ การเดินทางค่อนข้างยากนิดนึง เริ่มต้นด้วยการนั่งรถบัสจากกรุงมะนิลา แต่สำหรับเราที่มีสมาชิกในแก๊งรวมกันสามคนเราตัดสินใจเรียกใช้บริการ GRAB TAXI จากย่านที่พัก MAKATI ใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึง เมืองตาไกไท เพื่อต่อรถยนต์โฟร์วิลล์ เพราะเส้นทางค่อนข้างสมบุกสมบันไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นและลงเขาทางชัน เลี้ยวที่เนินโค้งคดเคี้ยวกว่าจะไปถึงริมทะเลสาบตาอัล
ด้วยลักษณะภูมิประเทศเป็นแอ่งภูเขาไฟที่ผุดขึ้นมาท่ามกลางทะเลสาบ ทำให้ที่นี่ได้รับการขนานนามว่า เกาะภูเขาไฟ การเดินทางค่อนข้างยากนิดนึง เริ่มต้นด้วยการนั่งรถบัสจากกรุงมะนิลา แต่สำหรับเราที่มีสมาชิกในแก๊งรวมกันสามคนเราตัดสินใจเรียกใช้บริการ GRAB TAXI จากย่านที่พัก MAKATI ใช้เวลาประมาณ หนึ่งชั่วโมงเราก็มาถึง เมืองตาไกไท เพื่อต่อรถยนต์โฟร์วิลล์ เพราะเส้นทางค่อนข้างสมบุกสมบันไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นและลงเขาทางชัน เลี้ยวที่เนินโค้งคดเคี้ยวกว่าจะไปถึงริมทะเลสาบตาอัล
นั่งรถยนต์โฟร์วิลล์เสร็จเราก็ต้องต่อเรือเพื่อข้ามไปยัง “เกาะภูเขาไฟ” และที่ไฮไลท์ทีเด็ดเลยสำหรับการเดินทางไปยังภูเขาไฟคือ การขี่ม้าโดยจะมีไกด์หรือจ๊อกกี้คอยจูงม้าให้นักท่องเที่ยวได้นั่ง อันนี้แล้วแต่สะดวก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้นั่งเพราะเค้ามีม้ารอให้บริการที่บริเวณตีนเขากว่า 500 ตัวเลยทีเดียว
ถามว่าคุ้มไหมกับค่าใช้จ่ายและการเดินทางที่แสนจะยากลำบากนิดหน่อยเราว่าคุ้มมาก มาเที่ยวทั้งที อย่างก เราต้องรู้จักใช้เมื่อจำเป็น การมาเที่ยวมันก็เหมือนเราได้เปิดโลกกว้าง พาตัวเองออกไปสัมผัสและค้นพบโลกใบใหม่ อย่าไปคิดว่ามันคุ้มไหม เพราะสิ่งที่เราได้กลับมามันคุ้มเสียยิ่งกว่าเงินที่เสียไป นั่นก็คือ ประสบการณ์ นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น