วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2562

เที่ยววังน้ำเขียว ชมไร่องุ่น ปากช่อง โคราช สบายใจที่สุด



                 โคราชหรือนครราชสีมาหรืออีกชื่อที่เรียกกันนั้นก็คือเมือง ย่าโม เป็นปากทางเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่สวยสดงดงาม เนื่องจากพื้นที่ที่ประกอบด้วยเนินเขา ที่ราบสูง จึงมีอากาศที่เย็นสบาย เหมาะแก่พักผ่อน และทำเกษตรกรรม และได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพ เช่น ไร่องุ่นที่มีอยู่หลายแห่ง บางแห่งเปิดให้เข้าชมภายในสวน อย่างเช่นที่ ไร่สุพัตรา ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลกลางดง อำเภอปากช่อง นครราชสีมา เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากองุ่นหลากหลายรายการทั้งสดและแปรรูป อยู่บนพื้นที่ประมาณ 50 ไร่


     ที่นี่เปิดให้เราผู้ที่ชอบท่องเที่ยวเข้าไปชมไปถ่ายภาพกับพวงองุ่น เลียบแปลงองุ่น ส่วนองุ่นนั้นสามารถซื้อได้ภายในร้าน ไร่องุ่นของที่นี่มี 5 สายพันธุ์ได้แก่ พันธุ์ไข่ปลาคาเวียร์ พันธุ์แบล็คไนท์ พันธ์ลูฟพาเลท พันธุ์บิ๊กแบล็ค พันธุ์ชีราส ปลูกสับเปลี่ยนกันไป การปลูกองุ่นที่ไร่แห่งนี้จะทำเป็นคานยาวพาดบนเสาเรียงกันเป็นแถวประมาณร้อยเมตรมีหลายแถว แต่ละแถวมีช่องว่างกว้างเท่า ๆ กัน ต้นองุ่นสูงจากพื้นประมาณ 1.5 เมตร จากบริเวณแปลงองุ่นสามารถมองเห็นวิวทิวเขาอยู่ไม่ไกล หากสนใจเกี่ยวกับการปลูกองุ่น การผลิตและการแปรรูปองุ่น หรือต้องการชมภายในไร่ สามารถสอบถามเจ้าหน้าที่ได้ หลายคนๆ คงชอบการที่มีความฝันที่ต้องการมีสวน องุ่นเล็กเก๋ ไว้ให้ชื่นตาสบายใจ


     หลังจากชมไร่องุ่นที่สวยงามแล้วก็มาชมร้านค้าของไร่สุพัตราที่มีผลิตภัณฑ์จากองุ่นมากมายหลายรูปแบบให้เลือกสรร ไม่ว่าจะเป็นองุ่นสดจากไร่ หวานมากน้อยตามสีสัน น้ำองุ่นสดๆ หอมหวาน น้ำองุ่นปั่น ไอสกรีมองุ่น กระหรี่พั๊ฟไส้องุ่น และไวน์องุ่นดีมีคุณภาพ และผลิตภัณฑ์อบแห้งจากองุ่นก็มีหลายรูปแบบให้เลือกซื้อ อ่ ดึงดูดนักท่องเที่ยว ถ่ายภาพ เช็คอิน

     การเดินทางไปยังไร่สุพัตราก็ไม่ยาก สถานที่ตั้ง เลขที่ 59/2 ม. 2 ต.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา บนถนนมิตรภาพ กม.152 แยกซ้ายไปประมาณ 800 เมตร ท่านสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Facebook: ไร่องุ่นสุพัตรา อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ยังไงไปแล้วช่วยมาคอมเม้นว่าสนุกไหม  ยังไงเที่ยวแล้วมาบอกกันด้วยนะครับ

วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2562

ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย จ.สุพรรณบุรี


จุดเริ่มต้น และที่มาก่อนจะเป็น ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย 
จากจีนแผ่นดินใหญ่  บิดาและมารดาของ คุณพิชัย เจริญธรรมรักษา (เฮียใช้ ) หนีความแห้งแล้งเข้ามาตั้งรกรากที่ตำบลสวนแตง และย้ายมาอยู่ที่ อู่ยาในเวลาต่อมา มารดาประกอบอาชีพ หาบของแลกข้าวเปลือก ขายข้าวแกง ร้านกาแฟ และร้านขายของชำ ตามลำดับ เมื่อเฮียใช้เติบโตขึ้น ได้เข้ามาช่วยครอบครัวในการรับซื้อข้าวเปลือก ในปี พ.ศ. 2540 ครอบครัวได้ตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพ จากรับซื้อข้าวเปลือกมาเป็นการรวบรวมเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อการค้าโดยมีลูกๆคอยช่วยดูแล ภายใต้เครื่องหมายการค้า "เฮียใช้เมล็ดพันธุ์ข้าว"


ผู้ก่อตั้งศูนย์เรียนรู้วิถีชิวิตและจิตวิญาณชาวนาไทย 
นายนิทัศน์ เจริญธรรมรักษา บุตรชาย ของเฮียใช้ หลังจากจบมัธยมศึกษาตอนปลายได้ออกมาช่วยบิดาประกอบอาชีพรับซื้อข้าวเปลือกในปี พ.ศ.2534 ต่อมาได้ค้นพบว่าตัวเองไม่เหมาะสมกับอาชีพนี้จึงได้ตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพ จากซื้อข้าวเปลือกมาเป็นการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว ในปี พ.ศ. 2540 โดยเริ่มทำจากจุดเล็กๆ เรียนรู้ลองผิดลองถูกค้นหาเกษตรกรที่มีความขยันซื่อสัตย์ พัฒนาระบบเมล็ดพันธุ์ข้าวเพื่อที่จะนำมาซึ่งเมล็ดพันธุ์ข้าวที่มีความบริสุทธิ์สูง ได้มีความคิดริเริ่มก่อตั้งศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทยขึ้น เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ที่มีความสนใจศึกษาหาความรู้เรื่องข้าว และวิถีชีวิตชาวนาไทยในอดีต เพื่อเป็นการตอบแทนชาวนาผู้มีพระคุณ และแผ่นดินเกิด


สถานที่น่าสนใจภายในศูนย์เรียนรู้วิถีชิวิตและจิตวิญาณชาวนาไทย
เรือนศูนย์รวมดวงใจไทยทั้งชาติ เรือนแห่งคุณค่าจากความตั้งใจในการแสดงความจงรักภักดีต่อพ่อหลวงของแผ่นดิน เรือนหลังนี้ได้สร้างสรรค์รูปแบบที่มีความโดดเด่นงดงามเป็นพิเศษ ภายในมีการจัดแสดงพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครั้งเสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ พระบรมฉายาลักษณ์ในพระราชกรณียกิจต่างๆ จัดแสดงพระบรมรูป และพระบรม
สาทิสลักษณ์ราชวงศ์จักรี ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 9 และนอกจากนั้น ยังมีรูปบุคคลสำคัญๆที่มีส่วนเกี่ยวข้องต่อการพัฒนาวงการข้าวไทย การสร้างศูนย์การเรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย ทั้งข้าราชการและประชาชนซึ่งเป็นบุคคลสำคัญยิ่งเรือนหลังนี้ คือเรือนแห่งคุณค่าทางจิตใจ

 ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย  นาเฮียใช้
แปลงนาสาธิต การสาธิตชนิดพันธุ์ข้าวนาปรังทุกชนิดที่นิยมปลูกในปัจจุบัน สาธิตการอนุรักษ์การพัฒนาพันธุ์ข้าว เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้เยี่ยมชม และชาวนาได้มีความรู้ในการเลือกพันธุ์ข้าวได้อย่างเหมาะสม โดยแปลงนาสาธิตนี้จะทำการปักดำทุกวันที่ 1 ของเดือน ด้วยกล้าเพียงต้นเดียว ต่อ 1 กอ เพื่อให้เห็นความสามารถในการแตกกอของต้นข้าว และ
ให้ชาวนาได้ศึกษาในทุกระยะการเติบโตของข้าว


 ศูนย์เรียนรู้วิถีชีวิตและจิตวิญญาณชาวนาไทย  นาเฮียใช้
เรือนวิถีชีวิตชาวนาไทยในอดีต การก่อสร้างเรือนไทยด้วยความประณีตวิจิตรบรรจง การออกแบบที่คงเอกลักษณ์ความเป็นไทย ด้วยรูปทรงประกอบด้วยเรือนไทย 3 หลัง คือ เรือนไทยหลังใหญ่ เรือนลูกซ้าย เรือนลูกขวา และครัวไฟ อันเป็นสถานที่ประกอบอาหารในอดีต เรือนวิถีชีวิตชาวนาไทยในอดีต เป็นเรือนไทยยกพื้นสูง ใต้ถุนเป็นสถานที่จัดแสดงอุปกรณ์เครื่องใช้ในอดีต เช่น อุปกรณ์หีบอ้อย ซึ่งรวบรวมไว้หลายแบบ แสดงถึงภูมิปัญญาไทยในการออกแบบ


ขอขอบคุณภาพและข้อมูล : http://www.suphan.biz/herechai.htm

Brand New Field Good ร้านใหม่ที่พึ่งเคยไปมา


สวัสดีวันเสาร์ เราไปเที่ยวไหนกันดี  อยากไปชิวที่ไหนสักแห่ง นอกตัวเมืองเชียงใหม่ แถวๆสะเมิง คือจุดหมายปลายทาง ที่ไม่ว่าจะเป็น นักปั่นจักรยาน นักท่องเที่ยว หรือใครที่อยากชิว ต่างก็มุ่งตรงไปเส้นทางเส้นทางนี้กัน

 วันนี้ เราขอเสนอ สถานที่ชิวๆ สบายๆ  ร้านอาหาร แบรนด์นิวฟีวกู๊ด Brand New Field Good  ร้านอาหารเล็กๆ ของนักร้องดังที่เพิ่งแต่งงาน คุณนิว เดอะสตาร์ กับ เป๊ก เปมนัส นั่นเอง



เราขับรถออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 40 นาที ก็ถึงร้านแบรนด์นิวฟีวกู๊ด  แต่มีจะมีเส้นทาง งงๆ หน่อยๆ เพราะมัวแต่ดูสิ่งสวยงามรอบข้าง ชื่นชมธรรมชาติ  ที่ร่มรื่น เย็นสบาย และเต็มไปด้วยจุดที่น่าแวะหลายที่ ร้านอาหารตกแต่งน่ารักๆ มากมาย

ทางเข้าไปร้าน แบรนด์นิวฟิวกู๊ด จะมาทางเดียวกับวัดบ้านปงอรัญญาวาส  เลี้ยวมาตามทางเลยครับ เจอวัด ก็หาที่จอดรถได้เลย อยากจะบอกว่า วัดนี้สวยมากๆ  แต่ด้วยวันที่เรามามันตรงกับวันหยุด คนเลยค่อนข้างเยอะ ก็เลยไม่ได้ไปเยี่ยมชมภายในวัด แต่ดูจากข้างนอก สวยมากๆเลย


ก่อนเดินเข้าสู่ร้านแบรนด์นิวฟิวกู๊ด  จะมีชาวบ้านขายของเล็กๆน้อย เช่น เครื่องดื่ม ลูกชิ้น ผลไม้ ตลอดจนของที่ระลึกในราคาไม่แพง อุดหนุนกัน สบายกระเป๋า

ทางเข้า จะมีป้ายสะพานฮอมฮัก ที่นักท่องเที่ยวจะต้องมาแชะกันในจุดแรก  สะพานฮอมฮัก เป็นสะพานไม้ไผ่ ที่ชาวบ้านช่วยกันสร้างก็จะเป็นจุดเด่นของทีนี่ เป็นสะพานทางเดินยาวๆ ปกติจะผ่านทุ่งนา แต่ช่วงนี้ ข้าวเก็บเกี่ยวกันไปแล้ว ก็จะกลายเป็นการปลูกถั่วมาทดแทน ซึ่งความสีเขียวจากต้นถั่วก็จะทำให้บรรยากาศสวยงามไปอีกแบบที่ไม่ค่อยได้เห็น

เดินมาถึงโซนร้านอาหาร เนื่องจากมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก คิวก็เลย ยาวไปหน่อย เราก็เลยเลี่ยงมาหามุมถ่ายรูปกันก่อน มีจุดให้นั่ง สามสี่จุดเลยค่ะ  ไม่ว่าจะเป็น ลานกว้างๆ  หรือ โซนที่นั่ง 2 ชั้น หรือ จะเป็นโซนคล้ายๆ โรงนา และด้านหลังก่อนถึงห้องน้ำติดกับสวนของชาวบ้านฝั่งด้านหลัง  เลือกได้ตามใจชอบ ใครจะไปแชะรูปถ่ายกันกลางทุ่ง เ เป็นไม้ไผ่ผูกผ้าสีขาวแจ่มๆ ใครสายถ่ายภาพไม่ควรพลาดนะครับ


พิกัด ร้านแบรนด์นิวฟิวกู๊ด บ้านปง อ.หางดง จ.เชียงใหม่  อยู่ติดกับ วัดบ้านปงอรัญญาวาส
เบอร์โทร ร้านแบรนด์นิวฟิวกู๊ด 097 978 8456
เวลาเปิด-ปิด ร้านแบนรด์นิวฟิวกู๊ด หยุดทุกวันอังคาร  10.00-18.00 น.  ศ-ส อา เปิดถึง 21.00 น.

ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก : http://www.chillnaid.com/23232/

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2562

ไปเที่ยว "ตลาดน้ำกวางโจว" เมือง เพชรบุรี


เพชรบุรีเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลายตามสภาพภูมิประเทศ และสถานที่หนึ่งที่ได้นำธรรมชาติกลางป่ามาผสมผสานกับวิถีชีวิตของชนพื้นถิ่นที่อยู่ริมเขา ทำเป็นตลาดน้ำกลางป่าแห่งแรกของไทย คือตลาดน้ำกวางโจว ที่ตั้งอยู่ที่อำเภอหนองหญ้าปล้อง จังหวัดเพชรบุรี

     เดิมสถานที่นี้เป็นพื้นที่แห้งแล้งที่เป็นไร่สับปะรด หลังจากมีโครงการพระราชดำริฯ ของในหลวงรัชกาลที่ 9 เกิดขึ้น สถานที่นี้จึงสามารถพัฒนาที่ดินจนปลูกพืชผักอื่นได้ มีป่า มีน้ำ เกิดเป็นวิสาหกิจชุมชนและการท่องเที่ยวเชิงเกษตร บุคคลทั่วไปมีค่าเข้าชม 25 บาท


     ที่มาของชื่อตลาดน้ำกวางโจวนั้น คำว่ากวางโจวเป็นภาษากะเหรี่ยง กวางคือสัตว์ป่าทั่วไป โจวแปลว่าใหญ่ หรือพี่คนโต รวมความว่า ที่นี่เป็นที่อยู่ของกวางตัวใหญ่ในสมัยก่อน ภายในตลาดเป็นร้านค้าของชาวบ้านใกล้เคียงนำผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติของตนมาจำหน่าย เช่นน้ำส้มควันไม้ใช้ประโยชน์ในทางการเกษตร มันสดๆ จากไร่ กาแฟป่ากับเรื่องเล่าของชาวบ้านที่ไปเจอต้นไม้ชนิดหนึ่งมีผลสีแดงคล้ำสงสัยว่าเป็นกาแฟแต่ไม่ทราบสายพันธุ์ เมื่อมาคั่วและชงแบบกาแฟจึงกลายเป็นกาแฟป่าแบบเข้มๆ หอมกลิ่นธรรมชาติเป็นเอกลักษณ์ ไข่ปิ้งเตาถ่าน ผักผลไม้ที่สดมากๆ ขนมหวานเมืองเพชร เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม เครื่องจักสาน


 ภายในมีจุดชมวิวน้ำตกแก้มลิง ลานเล่นน้ำบริการฟรี แพสปาปลาจากปลาธรรมชาติฟรี ให้บริการรับประทานอาหารบนแพ ไหว้ต้นไทรรักษาต้นไทรศักดิ์สิทธิ์ ทำบุญกล่องให้ทานซื้ออาหารให้กระรอกป่า เที่ยวแวะชิมอาหารคาวหวานที่ใส่ภาชนะกระบอกไม้ไผ่ที่ประดับตกแต่งอย่างสวยงามน่ารับประทาน หรือจะนั่งเรือชมทิวทิศน์ภายในตลาดน้ำก็มีบริการ ตลาดน้ำกลางป่า น้ำตกกวางโจวจึงเป็นตลาดน้ำที่ครึกครื้นครบครันและใกล้ชิดธรรมชาติเป็นอย่างมาก


ขอขบคุณรูปภาพและข้อมูลจากเว็บดีๆ : https://travel.thaiza.com/guide/420776/

ชวนชมงานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 15


          อากาศที่กำลังเย็นสบายแบบนี้คุณคิดที่จะไปเที่ยไหน ช่วงปลายปีแบบนี้ อะไรมีอะไรสนุกมากไปกว่ามองหาที่เที่ยวสวย ๆ สักที่ไปเช็กอิน หรือทำกิจกรรมอะไรเพื่อเป็นการต้อนรับหน้าหนาวดี ขอแนะนำการเที่ยวที่นี้เลย  นั่นก็คือ งานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 15  จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28 ธันวาคม 2561 – 31 มกราคม 2562 ณ สวนตุงและโคมนครเชียงราย จังหวัดเชียงราย 


         ภายในงานนักท่องเที่ยวจะพบกับกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย และพบกับดอกไม้นานาชนิด อย่างดอกทิวลิปและดอกลิลลี่ ที่พร้อมกันบานอวดโฉม ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมกับสีสันความสวยงามกันแบบไม่รู้เบื่อ รวมถึงเพลิดเพลินกิจกรรมดนตรีในสวน Music in the park (ทุกวันเสาร์) พร้อมกับศิลปินชื่อดังมากมายที่จะมาขับกล่อมผลงานเพลงเพราะ ๆ ให้ได้ฟังท่ามกลางดอกไม้ในสวน



         นอกจากความสวยงามของดอกไม้ที่เคล้าไปกับบรรยากาศสุดโรแมนติกแล้ว การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ยังมีความพิเศษตรงที่จัดตรงกับช่วงเดียวกับ "น้ำกกเกมส์" หรือการแข่งกีฬาคนพิการแห่งชาติ ครั้งที่ 36 (ระหว่างวันที่ 18-22มกราคม 2562) จึงมีทั้งนักกีฬา ผู้ติดตาม และนักท่องเที่ยว เข้ามาท่องเที่ยวเชียงรายเป็นจำนวนมาก แน่นอนเลยว่าดอกไม้ที่นำมาจัดแสดงครั้งนี้ จะต้องมีความพิเศษมากพอที่จะทำให้ทุกคนรู้สึกประทับใจอย่างแน่นอน


         นักท่องเที่ยวคนไหนสนใจเข้าร่วมงานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 15 สามารถเข้าร่วมงานได้ฟรี !!! ตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2561 - 31 มกราคม 2562 และกิจกรรมดนตรีในสวน ทุกวันเสาร์ เริ่มวันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม 2561 - วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2562 เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00-22.00 น. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 0 5371 1333 หรือ เฟซบุ๊ก งานเชียงรายดอกไม้งาม ครั้งที่ 15เชียงรายดอกไม้งาม เทศบาลนครเชียงราย


ขอขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก : https://www.facebook.com/tourism.cri/


ไปทำบุญกันหรือยัง " วัดแสงแก้วโพธิญาณ "


วัดแสงแก้วโพธิญาณ” ตั้งอยู่บนดอย “ม่อนแสงแก้ว” ตำบลเจดีย์หลวง อำเภอแม่สรวย จังหวัดเชียงราย
วัดแห่งนี้ มีขนาดพื้นที่ประมาณ 29 ไร่เศษตั้งอยู่บนเนินดอยห่างจากหมู่บ้านประมาณ 1.5 กิโลเมตร มีทัศนียภาพที่สวยงามมองลงมาเห็นทั้งตัวอำเภอแม่สรวย และหลายตำบลของอำเภอแม่สรวย การเดินทางก็สะดวกสบาย มีถนนลาดยางไปถึง ง่ายมาก สำหรับใครที่ นำรถไปให้ไปจอดด้านตรงข้ามวัดเข้าจะมีลานจอดรถขนาดใหญ่ ไว้คอยให้บริการพุทธศาสนิกชน จากนั้นจึงเดินเข้าสู่ตัววัดพระธาตุแสงแก้วโพธิญาณ
ภาพแรก ของคนที่มาครั้งแรก ไม่มีใคร ไม่อ้าปากค้าง กับภาพความวิจิตร งดงาม อลังการ กับภาพตรงหน้า และต้องหยุดยืนถ่ายภาพมุมกว้าง ที่เห็นทั้งลานวัด และพระพุทธรูป เจดีย์ บันไดนาค ที่อยู่เหลื่อมล้ำ กันขึ้นไปเป็นทอดๆ
มาพูดถึงประวัติของ วัดแสงแก้วโพธิญาณ กันสักเล็กน้อย วัดนี้ สร้างขึ้น เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 โดยท่านพระครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต คณะศรัทธาบ้านป่าตึง และศิษยานุศิษย์ เพราะต้องการจะมีวัดใหม่ที่สะดวกต่อการทำบุญของญาติโยม จึงได้คิดสร้างวัดใหม่ขึ้นมาเพื่อเป็นพุทธสถาน เป็นแหล่งยึดเหนี่ยวจิตใจ ของพุทธศาสนิกชน พ่อหลวงยา ศรีทา ได้เชิญเจ้าของที่ดินซึ่งเป็นผู้มีฐานะดีมาพบกับท่านครูบา อริยชาติ เพื่อพูดคุยปรึกษา หารือในเรื่องการสร้างวัดบนของที่ดินผืนนี้ เจ้าของที่ดินได้ถวายที่ดินประมาณ 19 ไร่เศษให้กับท่านครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโตเพื่อสร้างวัดอย่างง่ายดาย เมื่อศิษยานุศิษย์ คณะศรัทธาและผู้ที่นับถือ ท่านครูบาอริยชาติ อริยจิตฺโต ทราบข่าวการสร้างวัด ได้แสดงความจำนงค์ในการร่วมสมทบทุน สร้างวัดเป็นจำนวนมาก

สำหรับ การออกแบบวัดนี้พระครูบาอริยชาติ อริยจิตโต ท่านออกแบบเป็นชั้นๆ ชั้นแรกเมื่อเข้ามาจะเห็นรูปเหมือนแทนพระพุทธเจ้า 4 พระองค์ คือ พระกกุสันธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปพุทธเจ้า พระโคตมพุทธเจ้า มีสิงห์คู่ตัวใหญ่ เดินขึ้นมาถึงชั้นที่ 2 เป็นพุทธาวาสเป็นเขตของพระพุทธเจ้า เป็นที่ทำสังฆพิธีต่างๆ มีอุโบสถ วิหาร หอไตร มีปราสาท 16 หลัง แทนพรหม 16 ชั้น มีศาลา 16 ห้อง แทน 16 ชั้นฟ้า ชั้นที่ 3 เป็นชั้นที่ตั้ง กุฏิ ของพระครูบาอริยชาติ และเป็นที่ตั้งขอพรจากท่านเทพทันใจ แม่นางกวัก แม่กระซิบ อีกทั้งยังเป็นที่ให้เช่าบูชา วัตถุมงคลต่างๆ ของทางวัด มีศาลาเอนกประสงค์ไว้สำหรับพักผ่อน กับบรรยากาศที่ร่มรื่น หอฉัน ห้องน้ำ ก็อยู่ในชั้นนี้ด้วย
ขึ้นต่อไปชั้นที่ 4 เป็นการจำลองเรื่องโลกและจักรวาลด้านหน้าของทางเข้ามี เทพนพเคราะห์ 9 องค์ ก่อนเข้าวงเวียนเจอ ยักษ์หลับและยักษ์ตื่น แทนกลางคืนและกลางวัน
เรียกได้ว่า ทุกสิ่งก่อสร้าง ทุกสถาปัตยกรรม และทุกประติมากรรม จะมีความหมายทางธรรมะ แฝงอยู่เสมอ ผู้ที่มากราบพระ ไหว้พระขอพร ที่วัดนี้ ก็จะได้ไขปริศนาธรรมไปด้วยอย่างเพลิดเพลิน
มาถึงความรู้สึกส่วนตัวของแอดมินหลังจากที่ได้ไปเยี่ยมชมวัดแห่งนี้ คือต้องยอมรับว่าสถาปัตยกรรมอลังการงานสร้างจริงๆ วัดกว้างมากก เดินเหนื่อยเอาเรื่องนะ (แดดร้อนด้วยฮ่าๆ) ระหว่างการเดินรอบๆวัดก็จะมีสถาปัตยกรรมต่างๆให้ได้ชมแบบไม่มีเบื่อกันเลยทีเดียว


วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2562

สวัสดี เชียงคาน


    ถือว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่คนนิยมไปเที่ยวกันเลยก็ว่าได้ "เชียงคาน"
เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สามารถเที่ยวได้ทั้งปี ไม่ว่า ฤดู ร้อน ฝน หนาว ก็สามารถมาเที่ยวได้ทั้งปี สำหรับสถานที่แห่งนี้


    ช่วงฤดูหนาวของ เชียงคาน ค่อนข้างจะมีอากาศหนาวเย็น และมีหมอกในช่วงเช้า และมีบรรยากาศ ที่เหมาะแก่การพักผ่อนเป็นอย่างมาก ซึ่งบ้านเรือนที่เมืองเชียงคานจะแบ่งออกเป็นซอยเล็กๆ โดยเป็น ชุมชนบ้านไม้อายุ ๑๐๐ ปี ที่เรียกว่า ถนนศรีเชียงคาน ตกเย็นก็จะมีถนนคนเดินให้นักท่องเที่ยวได้มาเลือกซื้อสินค้าและของพื้นเมืองต่างๆ มากมาย ท่ามกลางลมหนาว มีวิวทิวทัศน์ริมฝั่งโขงอันงดงาม ห้อมล้อมไปด้วยผู้คนที่เป็นมิตรด้วย

    โดยในช่วงฤดูหนาวที่ เชียงคาน นั้น จะมีจุดชมวิวทะเลหมอกที่เรียกว่า ภูทอก ซึ่งจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาชมความงามของทะเลหมอกอย่างไม่ขาดสาย 


    โดยภูทอกนั้นจะมีลักษณะเป็นภูเขาสูง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขง ซึ่งบนยอดภูเป็นที่ตั้งของสถานีโทรคมนาคมเชียงคาน ที่ถือว่าเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามแห่งหนึ่งของอำเภอเชียงคาน และเป็นลำน้ำโขงได้โดยรอบ  ตั้งอยู่บนถนนสายเดียวกันกับแก่งคุดคู้ ตามเส้นทางหมายเลข ๒๑ ไปทาง อำเภอปาดชม ระยะทางของ ภูทอก จะอยู่ห่างจาก ตัวอำเภอ เชียงคานประมาณ 3 กิโลเมตร ทั้งนี้ การเจอหมอกมากน้อยหรืออาจจะไม่เจอเลย ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศในแต่ละวันด้วย




     การเดินทางและเส้นทางไปเชียงคาน

   วิธีที่ 1. เดินทางโดย รถยนต์

การเดินทางจากกรุงเทพฯ ให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 (พหลโยธิน) จะผ่านตัวเมืองสระบุรี ตรงเข้าทางหลวงหมายเลข 21 ผ่านจังหวัดเพชรบูรณ์ และตรงเข้าทางหลวงหมายเลข 203 ผ่านอำเภอหล่มสัก หล่มเก่า จะเข้าเขตจังหวัดเลย ที่อำเภอด่านซ้าย อำเภอภูเรือ เมื่อถึงตัวจังหวัดเลยจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 7 - 8 ชั่วโมง หรือ และจะใช้เส้นทาง จากจังหวัดสระบุรี ใช้ทางหลวงหมายเลข 2 มิตรภาพ โดยผ่านจังหวัดนครราชสีมา ถึงจังหวัดขอนแก่น แล้วเลี้ยว ซ้ายเข้าทางหลวงหมายเลข 12 ผ่านอำเภอชุมแพ จะใช้เส้นทางหมายเลข 201 เพื่อเข้าเขตจังหวัดเลย ที่อำเภอภูกระดึง อำเภอวังสะพุง ถึงตัวจังหวัดเลยได้เช่นเดียวกัน

วิธีที่ 2. เดินทางโดยรถโดยสารประจำทาง

สำหรับบริษัท ขนส่ง จำกัด ก็มีรถโดยสารประจำทางวิ่งระหว่างกรุงเทพฯ - เลย ทุกวัน ทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง มีรายละเอียดสอบถามที่ สถานีขนส่งสายอีสาน ที่ถนนกำแพงเพชร 2 (หมอชิต 2) โทร. (02) 936-0667, 936-0657

วิธีที่ 3. เดินทางโดยรถไฟ

การรถไฟแห่งประเทศไทย มีรถไฟไปจังหวัดอุดรธานีและขอนแก่น สามารถต่อรถยนต์ไปจังหวัดเลยได้อีกต่อหนึ่ง รายละเอียดสอบถาม หน่วยบริการเดินทาง สถานีรถไฟกรุงเทพฯ โทร. 233-7010, 223-7020

ขอบคุณข้อมูลและบทความดีๆจาก : Sanook   https://www.sanook.com/travel/1396933/

มาวังน้ำเขียว เที่ยวไหนดี ?


    เสน่ห์ของวังน้ำเขียว คือ เป็นเมืองท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ และมีบรรยากาศที่เย็นสบายตลอดทั้งปี ไม่ต่างจากดินแดนทางภาคเหนือ สามารถมาเที่ยวไปชมได้ทั้ง 3 ฤดู โดยเฉพาะหน้าฝนที่พร่างพรมความเย็นฉ่ำไปทั่ว ขับรถไปเที่ยวไกลๆ ไม่สะดวก วังน้ำเขียวก็เป็นอีกจุดหมายหนึ่งของนักเดินทางสามารถเลือกมาพักผ่อน นอนเล่นตากอากาศ สัมผัสความงดงามของธรรมชาติและอากาศบริสุทธ์ท่ามกลางผืนป่าเขียวขจี ให้สมกับได้ชื่อว่ามาเที่ยว "วังน้ำเขียว" แล้ว

วันนี้จะพามาชม สถานที่เที่ยวในวังน้ำเขียว ว่าจะมีที่ไหนกันบ้าง

 
    1. สวนลุงไกร
ที่นี่เป็นแหล่งปลูกผักเมืองหนาวปลอดสารพิษที่โด่งดังของ อ. วังน้ำเขียว บนพื้นที่ 15 ไร่ มีแปลงผักทอดตัวยาวปลูกสลับกันหลากหลายพันธุ์ ทั้งคอส บัตเตอร์เฮด เรดโอ๊ก กรีนโอ๊ก เรดลีฟ ผักกาดแก้ว มะเขือเทศ กะหล่ำปลีม่วง เบบี้แครอท เป็นต้น เมื่อมาถึงสวน ลุงไกร ชมน้อย เจ้าของสวนจะเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องราว เกี่ยวกับการเพาะปลูกผักปลอดสารพิษ และโชว์ลูกคอและฝีมือการเล่นกีตาร์สไตล์คันทรี สร้างความครื้นเครงให้กับนักท่องเที่ยวอีกด้วย


    2. วังน้ำเขียวฟาร์ม
เป็นฟาร์มเห็ดติดแอร์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน มีเห็ดมากมายหลากหลายพันธุ์ ทั้งเห็ดหอม เห็ดหลินจือ เห็ดหัวลิง เห็ดออรินจิ เห็ดแชมปิยอง เห็ดโคนญี่ปุ่น ทางฟาร์มมีบริการพาเที่ยวชม พร้อมกับอธิบายการปลูกเห็ดให้ฟังทุกขั้นตอน อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปแบบเห็ดๆ ให้คุณเลือกซื้อด้วย ทั้งเห็ดโคนญี่ปุ่นดองสามรส เห็ดหัวลองดองซีอิ๊ว เห็ดแชมปิยองดองเหลือ เห็ดหอมดองสามรส น้ำพริกกะปิเห็ดหอม น้ำพริกตาแดงเห็ดหอม น้ำสลัดเห็ด น้ำเห็ดเพื่อสุขภาพ ข้าวเกรียบเห็ด เป็นต้น


    3. วิลเลจฟาร์ม แอนด์ ไวน์เนอรี่
ฟาร์มแห่งตั้งอยู่บนเขาลูกเล็กๆ ภายในฟาร์มสร้างเลียนแบบโรงนาของชาวตะวันตก มาที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้ทำกิจกรรมการเก็บองุ่นสด ที่วังน้ำเขียวจากต้นด้วยตัวเอง อีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่พาเยี่ยชมโรงบ่มไวน์ พร้อมบรรยายกระบวนการผลิตไวน์ทุกขั้นตอน รวมทั้งมีจักรยานให้คุณปั่นชมฟาร์มกันเพลินๆ ใครอยากชิมไวน์รสชาติชั้นดี ก็มีร้านอาหารสไตล์ยุโรปให้บริการ ทั้งสเต็ก สปาเก็ตตี้ พร้อมจิบไวน์ไปด้วยท่ามกลางบรรยากาศที่แสนเย็นสบาย


    4. สวนสุชาดา
เป็นสวนดอกหน้าวัวที่ใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน นักท่องเที่ยวจะได้พบดอกหน้าวัวหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งดอกขาวเปียงโก อโก ซันเต้สวิส และฮาร์ดเชอร์รี่ ส่วนดอกแดงมีพันธุ์ท็อบปิคอล และแดงอลิสซิส หากอยากซื้อกลับทางสวนก็มีตัดขายหรือจะซื้อยกกระถางกลับไปปลูกให้เป็นเรื่องเป็นราวเขาก็มีขายอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสวนองุ่นไร้เมล็ดให้ได้ชิมกันสดๆ จากต้น หรือจะเป็นผักปลอดสารพิษก็มีให้เลือกซื้อได้


     5.ยิงหนังสติ๊ก ปลูกป่า ผาเก็บตะวัน
เป็นจุดชมทิวทัศน์ยามพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามของ อ. วังน้ำเขียว ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่ของ อช. ทับลาน บนเขาสันกำแพง ด้านล่างเป็นผืนป่าดงดิบ มาที่นี่นักท่องเที่ยวจะได้พบกับกิจกรรมการปลูกป่ามะค่าโมงด้วยหนังสติ๊กกับไม้กอล์ฟ เพื่อให้เมล็ดมะค่าโมงลอยไปตกยังผืนป่าด้านล่าง นอกจากคุณจะช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับธรรมชาติแล้ว ยังเป็นการออกกำลังเบาๆ อีกด้วย



    การเดินทางไปวังน้ำเขียว

+ รถยนต์
- จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 หรือถ. พหลโยธิน เมื่อถึงสระบุรีให้เลี้ยวขวา เข้าทางหลวงหมายเลข 2 หรือ ถ. มิตรภาพ ขับไปเรื่อยๆ จนถึงแยก อ. ปักธงชัย ให้เลี้ยวขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 304 มุ่งหน้าสู่ อ. วังน้ำเขียว
- จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 1 หรือถ. พหลโยธิน เมื่อถึงสระบุรีให้เลี้ยวขวา เข้าทางหลวงหมายเลข 2 หรือ ถ. มิตรภาพ เมื่อถึงบริเวณตัว อ. ปากช่อง ผ่านฟาร์มโชคชัยไปประมาณ 4 กม. ให้เลี้ยวขวาเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 2090 ขับตรงไปเรื่อยๆ เมื่อถึงบริเวณด่านเก็บเงินเข้า อช. เขาใหญ่ ให้เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าสู่ อ. วังน้ำเขียว
- จากกรุงเทพฯ ใช้ทางหลวงหมายเลข 305 หรือถนนสายรังสิต-นครนายก ไปทาง จ. ปราจีนบุรี จากนั้นให้ใช้ทางหลวงหมายเลข 33 แล้วเลี้ยวซ้ายบริเวณแยกกบินทร์บุรีใหม่เข้าทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านแยกนาดี อช. ทับลาน ขับตรงมามุ่งหน้าสู่ อ. วังน้ำเขียว
- จากกรุงเทพฯ ใช้ถนนมอเตอร์เวย์ ผ่านด่านลาดกระบัง แล้วเลี้ยวซ้ายออกทาง จ. ฉะเชิงเทรา เข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 304 ผ่าน จ. ฉะเชิงเทรา อ. พนมสารคาม ถึงบริเวณแยกกบินทร์บุรีใหม่ให้ตรงไปเข้าสู่ทางหลวงหมายเลข 304 ผ่านแยกนาดี อช. ทับลาน ขับตรงมามุ่งหน้าสู่ อ. วังน้ำเขียว

+ รถโดยสารประจำทาง
สามารถขึ้นรถโดยสารประจำทางจากสถานีขนส่งหมอชิตไปลงที่ จ. นครราชสีมา แล้วต่อรถประจำทางสายนครราชสีมา-ปักธงชัย ไปยัง อ. วังน้ำเขียว ได้ที่สถานีขนส่งนครราชสีมา จากกรุงเทพฯ มีบริษัทรถทัวร์ให้บริการหลายบริษัทคือ
- บริษัทราชสีมาทัวร์ โทรศัพท์: 0-2269 3234, 0 2537 8329
- บริษัทสุนารีแอร์ โทรศัพท์: 0 2537 8369
- บริษัทแอร์โคราชพัฒนา โทรศัพท์: 0-2936 2252

+ รถไฟ มีขบวนรถไฟจากกรุงเทพฯ-นครราชสีมาทุกวัน เป็นขบวนรถด่วนพิเศษและรถเร็ว ตสอบถามรายละเอียดได้ที่ โทร. 1690, 0 2223 7010, 0 2223 7020 หรือ www.railway.co.th สถานีรถนครราชสีมา โทร. 0 4424-2044

ขอบคุณข้อมูลและบทความดีๆจาก : https://www.sanook.com/travel/937130/

พาเที่ยว ‘ปางอุ๋ง’ โครงการพระราชดำริปางตอง 2


    หนาวนี้ไปเที่ยวไหนดี? คิดถึงหน้าหนาว ก็ต้องคิดถึงภาคเหนือเป็นอย่างแน่นอน เพราะจะได้สัมผัสกับบรรยากาศดีๆ แล้วยังได้รับอากาศเย็นๆที่นานๆทีจะมีโอกาสได้สัมผัสซักที แต่แน่นอน ใครที่ยังลังเลคิดไม่ออกว่าจะไปเที่ยวไหน

   
     ปางอุ๋ง หรือ โครงการพระราชดำริปางตอง 2 หลายคนอาจจะคุ้นชื่อ ปางอุ๋ง แต่ไม่คุ้นชื่อโครงการพระราชดำริปางตอง 2 แต่ที่จริงแล้วก็คือสถานที่เดียวกันนั่นเอง เพราะปางอุ๋ง มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่าโครงการพระราชดำริปางตอง 2 ตั้งอยู่ที่บ้านรวมไทย ตำบลหมอจำแป่ ห่างจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอนประมาณ 44 กิโลเมตรโครงการนี้เกิดขึ้นจากพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยพระองค์มีพระประสงค์จะฟื้นฟูสภาพป่าและระบบนิเวศบริเวณอ่างเก็บน้ำป่าตองและฝางปางอุ๋ง เพราะในอดีตสถานที่แห่งนี้ถูกบุกรุกพื้นที่เพื่อตัดไม้ทำลายป่ามาเป็นเวลานาน เมื่อสภาพป่าและระบบนิเวศกลับมาสมบูรณ์อีกครั้ง ปางอุ๋งก็ได้กลายมาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแหล่งสำคัญของแม่ฮ่องสอน


    กิจกรรมที่นักท่องเที่ยวนิยมทำที่ปางอุ๋งก็คือการล่องแพชมวิวและบรรยากาศโดยรอบของปางอุ๋ง ไปเยี่ยมชมสวนปางอุ๋งของโครงการพระราชดำริที่มีจัดแสดงพืชพรรณต่างๆ ที่กลมกลืนกับสภาพภูมิประเทศบนที่สูง เป็นยาแผนไทยและให้ประโยชน์ทางด้านอาหาร เช่น อะโวคาโด บ๊วย สาลี่ พลับ นอกจากนี้ยังมีโซนสวนไม้ดอกไม้ประดับเมืองหนาว เช่น ไฮเดรนเยีย พวงแสด และกุหลาบ


    การเดินทาง

   จากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ใช้เส้นทางแม่ฮ่องสอน – ปาย ทางหลวงหมายเลข 1095 ถึงกิโลเมตรที่ 10 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปทางบ้านหมอกจ่าแป จากบ้านหมอกจ่าแปจะมีป้ายบอกทางไปจนถึงบ้านรวมไทย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากตัวเมืองแม่ฮ่องสอน

สำหรับช่วงนี้ ใครที่กำลังคิดว่าจะหาสถานที่ท่องเที่ยวไปเก็บประสบการณ์ดีๆ บรรยากาศดีๆ ไว้เป็นความทรงจำ ปางอุ๋งก็น่าจะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่ควรจะไปครับ

ขอบคุณบทความดีๆ : https://bit.ly/2GWkSab

แสงสีทอง ที่ดอยหลวงเชียงดาว

   
     ถ้าพูดถึงดอยในหลายๆสถานที่ ก็คงหนีไม่พ้นดอยหลวงเชียงดาว หรือ ดอยเชียงดาว นั่นเอง

   ดอยหลวงเชียงดาว หรือดอยเชียงดาว มีความสูง 2,225 เมตร เป็นยอดเขาสูงอันดับ 3 ของประเทศไทย รองจากดอยอินทนนท์ที่ความสูง 2,565 เมตร และดอยฟ้าห่มปกที่ 2,288 เมตร ตั้งอยู่ในอำเภอเชียงดาว อยู่ทางทิศเหนือของเชียงใหม่ ไปตามเส้นทางหลวงสายเชียงใหม่-ฝาง ประมาณหลักกิโลเมตรที่ 72  หากผ่านไปตามเส้นทางดังกล่าวจะสังเกตเห็นเทือกเขาสูงชันทางด้านซ้ายมือนั่นล่ะคือ ดอยหลวงเชียงดาว
หากคุณขึ้นมาถึงยอดดอยหลวงเชียงดาว คุณจะพบกับอีก 2 ดอยอยู่เบื้องหน้า นั่นก็คือ ดอยสามพี่น้อง และดอยพีรามิด เป็นภาพที่งดงามจับตาอย่างมากนั่นเอง


    ดอยหลวงเชียงดาว ที่มาของชื่อได้มาจากความสูงใหญ่ของดอย คำว่า ”หลวง” ในภาษาเหนือ แปลว่า ”ใหญ่” ส่วนคำว่า “เชียงดาว” นั้น ก็เพี้ยนมาจากคำว่า ”เพียงดาว” คิดดูสิครับ ภูเขาที่ชื่อมีความหมายแปลได้ว่า “ภูเขาใหญ่โตที่สูงถึงดวงดาว” นั้นจะน่าไปเยือนขนาดไหน และที่สำคัญต้องเดินเท้าขึ้นไปเท่านั้น ถือเป็นหนึ่งในยอดเขาที่น่าเดินที่สุดของประเทศไทยก็ว่าได้

   

    ดอยเชียงดาวแห่งนี้ นอกจากจะเต็มไปด้วยผืนป่าและแมกไม้นานาพันธุ์แล้ว ยังมียอดเขาเล็กใหญ่โดยรอบปกคลุมด้วยหมอกจางๆ ช่างเป็นทิวทัศน์ชวนฝันอย่างแท้จริง พร้อมมีนกหลากหลายชนิดให้ได้ชื่นชม นักส่องนกจึงนิยมมาเที่ยวที่นี่กันมาก หรือถ้าคุณโชคดีก็อาจได้เจอกับเจ้ากวางผา เจ้ากวางน้อยในป่าใหญ่ คนรักธรรมชาติไม่ควรพลาด คุณจะได้สัมผัสกับสิ่งเหล่านี้อย่างใกล้ชิดแน่นอน



    เส้นทางการขึ้นดอยหลวงเชียงดาว

1. เส้นทางเด่นหญ้าขัด ต.แม่นะ อ.เชียงดาว เดินสบายที่สุด แต่ต้องเช่ารถขึ้นไปส่งค่อนข้างไกล (ค่ารถที่จะไปส่งตรงทางขึ้นดอยที่เด่นหญ้าขัด 1,000 บาท) เป็นเส้นทางที่นิยมใช้มากที่สุด ถือเป็นเส้นทางที่ไกลที่สุดจากจุดเริ่มต้นขึ้นไปถึงยอดดอย การเดินเท้าจากหน่วยฯ เด่นหญ้าขัด ระหว่างทางจะมีทั้งพันธุ์ไม้ทั่วไป และพันธุ์ไม้หายาก จากระดับที่สูงขึ้นและสูงขึ้น ไต่ไปตามทางที่ทั้งลื่นและแคบ บางช่วงก็กว้างพอที่จะเดินแบบเกาะกลุ่มกันได้ บางช่วงก็แคบชนิดที่ต้องเดินเรียงเดี่ยวเท่านั้น

2. เส้นทางนาเลา ค่อนข้างจะรก สามารถควบคุมเวลาการเดินทางได้แน่นอนเส้นทางเด่นหญ้าขัดและเส้นทางนาเลา ใช้เวลาเดินทางใกล้เคียงกัน คือ ประมาณ 4-6 ชั่วโมง แล้วแต่สภาพร่างกาย

การจะไปท่องเที่ยวที่ดอยหลวงเชียงดาว ต้องทำการขออนุญาตกับทางสถานที่ก่อน โดยขอได้ 2 แห่ง คือ
1.สำนักอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพรรณพืช เขตจตุจักร กรุงเทพฯ
โทร. 02-5614836
2.สำนักงานเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่
โทร. 053-455802 , 089-9551471

ก่อนเข้าในเขตฯ เชียงดาว ให้ยื่นหนังสือขออนุญาตและเสียค่าบริการ หรือค่าตอบแทนที่สำนักงานเขตฯ เชียงดาวก่อน โดยอนุญาตให้เข้าได้ไม่เกินจำนวน 150 คนต่อวัน (รวมผู้นำทางและลูกหาบด้วย)

ขอบคุณบทคสามดีๆจาก : MTHAI 

เขาค้อ มนต์สเน่ห์ เมืองเพชรบูรณ์


    หลายๆคนเคยพูดไว้ว่า หากเราคิดที่จะไปเที่ยพักผ่อนที่ไหนสักที่ จะไปเที่ยวที่ไหนก็ควรเช็คสภาพอากาศให้ดีก่อน ว่าเหมาะสมกับสถานที่ ที่เราจะไปเที่ยวรึเปล่า  และวันนี้จะมาแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวได้ทุกฤดูกาล นั่นก็คือ เขาค้อ นั่นเอง


    เขาค้อเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัด เพชรบูรณ์ สาเหตุที่เรียกว่า"เขาค้อ" เพราะเป็นป่าบริเวณนี้เดิมมีต้นค้อซึ่งเป็นไม้ตระกูลปาล์มขึ้นอยู่มาก สำหรับสภาพภูมิอากาศบนเขาค้อนั้นจะเย็นสบายสดชื่นตลอดทั้งปีแม้ในฤดูร้อน และค่อนข้างเย็นจัดในฤดูหนาว อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 18 - 25 องศา และเป็นแหล่งชมทะเลหมอกที่สวยมากอีกด้วย


     จุดเช็คอินที่ต้องไปให้ได้

    "ฐานอิทธิ" (พิพิธภัณฑ์อาวุธ) อยู่เลยกิโลเมตรที่ 28 ทางหลวงหมายเลข 2196 (ไปเล็กน้อย แล้วแยกขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 2323 ไปประมาณ 3 กิโลเมตร) เป็นจุดหนึ่งที่เห็นทิวทัศน์สวยงามและเคยเป็นฐานสำคัญทางยุทธศาสตร์ในอดีต ปัจจุบันจัดเป็นพิพิธภัณฑ์อาวุธ จัดแสดงปืนใหญ่ ซากรถถัง และอาวุธที่ใช้สู้รบกันบนเขาค้อ มีห้องบรรยายสรุปแก่ผู้เข้าชมเป็นหมู่คณะด้วย เปิดให้เข้าชมทุกวัน ค่าเข้าชมคนละ 10 บาท


    "อนุสรณ์สถานผู้เสียสละเขาค้อ" อยู่บนยอดเขาสูงสุดของเขาค้อ อยู่เลยฐานอิทธิไปอีก 1 กิโลเมตร สร้างขึ้นเพื่อเทิดทูนวีรกรรมของพลเรือน ทหาร ตำรวจ ทหาร ผู้พลีชีพในการสู้รบเพื่อปกป้องพื้นที่ในเขตรอยต่อ 3 จังหวัด คือ พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และเลย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 - 2525 โดยสร้างด้วยหินอ่อนเป็นรูปสามเหลี่ยมสูง 24 เมตร หมายถึง การปฏิบัติการร่วมกันระหว่างพลเรือน ตำรวจ ทหารในปี พ.ศ. 2524 ผนังภายในบันทึกประวัติอนุสรณ์สถานและรายชื่อวีรชนผู้เสียสละไว้ด้วย ส่วนการเดินทางให้ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 2196 ไปจนถึงกิโลเมตรที่ 28 ไปเล็กน้อย มีทางแยกขวาไปเส้นทางหมายเลข 2323 ประมาณ 3 กิโลเมตร รวมระยะทางประมาณ 31 กิโลเมตร


   "หอสมุดนานาชาติเขาค้อ" ตั้งอยู่ที่เดียวกับเจดีย์พระบรมสารีริกธาตุ เป็นหอสมุดขนาดใหญ่ออกแบบเป็นรูปเพชรคว่ำ สร้างด้วยกระจกสะท้อนแสง ภายในเก็บรักษาหนังสือทั้งภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ ในเดือนธันวาคมของทุกปีจะมีการจัดงาน "วันนัดพบเอกอัครราชทูต ณ เขาค้อ" โดยเชิญเอกอัครราชทูตจากประเทศต่างๆ มาร่วมชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมของจังหวัด


    เส้นทางและการเดินทาง - เขาค้อ
  จากเพชรบูรณ์ - เขาค้อ : ใช้เส้นทางหลวงหมาย เลข 21 (สระบุรี - หล่มสัก) ถึงสามยกนางั่ว ระยะทางประมาณ 13 กิโลเมตร เลี้ยวซ้ายไปตาม ทางหลวงหมายเลข 2258 จะผ่านเนินมหัศจรรย์ จุดชมวิวตลาดพืชผลทางการเกษตร จนถึงสี่แยกสะเดาะพง ถ้าตรงไปจะเห็นทางแยกเข้าพระตำหนักเขาค้อ แต่ถ้าเลี้ยวขวา ไปตามทางหลวง หมายเลข 2196 จะผ่านแยกทางขวา เข้าหอสมุดนานาชาติเขาค้อ ตรงไปถึงสามแยกรื่นฤดี แล้วเลี้ยวซ้าย ผ่านพิพิธภัณฑ์อาวุธ และอนุสรณ์ผู้เสียสละเขาค้อ เมื่อตรงไปจะผ่านที่ว่าการอำเภอเขาค้อ หน่วยราชการต่างๆ และผ่านพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก และไร่ บี.เอ็น.

    รถสองแถว

  จาก อ เมือง : นั่งรถสองแถวสายเพชรบูรณ์ - เขาค้อ ค่ารถโดยสารประมาณ 50 - 60 บาท จะผ่านเนินมหัศจรรย์ จุดชมวิวตลาดพืชผลทางการเกษตร สามแยกรื่นฤดี หอสมุดนานาชาติเขาค้อ ไปสุดสายที่ตลาดพัฒนาเยื้องที่ว่าการอำเภอเขาค้อ หากต้องการเที่ยวทั่วบริเวณเขาค้อ ควรเหมารถสองแถวเที่ยวจะสะดวกกว่า ราคาเหมาประมาณ 700 - 800 บาท/วัน

  จาก อ.หล่มสัก : นั่งรถสองแถวสายหล่มสัก - แคมป์สน ไปลงที่สามแยกแคมป์สน ค่ารถประมาณ 35 - 40 บาท แล้วต่อรถสองแถวสายแคมป์สน - เขาค้อ ค่ารถประมาณ 10 - 20 บาท รถจะผ่านไร่ บี.เอ็น. ไปสุดสายที่ว่าการอำเภอเขาค้อ หากต้องการเที่ยวทั่วบริเวณเขาค้อ ควรเหมารถสองแถวเที่ยวจะสะดวกกว่า ราคาเหมาประมาณ 700 - 800 บาท/วัน

ขอบคุณบทความดีๆจาก : K@pook
ขอบคุณรูปสวยๆจาก : Photo by Chada

เที่ยววังน้ำเขียว ชมไร่องุ่น ปากช่อง โคราช สบายใจที่สุด

                 โคราชหรือนครราชสีมาหรืออีกชื่อที่เรียกกันนั้นก็คือเมือง ย่าโม เป็นปากทางเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นจังหวัดหนึ่งที...